ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนคนเก่งของเรา

น.ส.ฮุสนา หมัดนุรักษ์และ
น.ส.ชัชนา ประเสริฐดำ
ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในคณะแพทยศาสตร์ 
มหาวิทยาลัย ซีอานเจียวทง
ณ เมืองซีอาน มณทลส่านซี ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

ศาสนาอิสลามคืออะไร?

ศาสนาอิสลามคืออะไร?

ศาสนาอิสลามคือการยอมรับและปฏิบัติตามโอวาท คำสอนของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระองค์ทรงเปิดเผยต่อศาสนทูตองค์สุดท้ายของพระองค์ นั่นคือ มุหัมมัด  นั่นเอง.

ความเชื่อพื้นฐานบางประการของศาสนาอิสลาม

1) เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า:

ชาวมุสลิมเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าที่ไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ มีเอกลักษณ์เด่นพิเศษเพียงพระองค์เดียว ผู้ซึ่งไม่มีพระบุตรหรือบริวาร และไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ที่จะได้รับการสักการะบูชา นอกจากพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระองค์ทรงป็นพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง และพระเจ้าองค์อื่นล้วนเป็นสิ่งสักการะจอมปลอม พระองค์ทรงมีพระนามที่ไพเราะ และมีคุณลักษณะอันเพียบพร้อมงดงามไม่มีผู้ใดจะมาแบ่งความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ หรือคุณลักษณะอันสมบูรณ์ของพระองค์ไปได้ ในพระคัมภีร์กุรอาน พระผู้เป็นเจ้าทรงอรรถาธิบายตัวของพระองค์เองไว้ดังนี้:

จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดพระองค์คืออัลลอฮ์ผู้ทรงเอกกะอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นที่พึ่งพระองค์ไม่ประสูติและไม่ทรงถูกประสูติและไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์  (อัลกุรอาน, 112:1-4)

ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ที่จะได้รับการเอ่ยนามระลึกถึง การอ้อนวอนการบูชา หรือได้รับการแสดงการสักการะบูชา นอกจากพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวคือผู้มีอำนาจสูงสุด เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ครอบครอง และเป็นผู้จรรโลงสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ พระองค์ทรงจัดการทุกสรรพกิจ พระองค์ทรงมีอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสัตว์โลกของพระองค์ และสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าต่างต้องพึ่งพาพระองค์สำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ  พระองค์ทรงสดับทุกสรรพสิ่ง ทรงเห็นทุกสรรพสิ่ง และทรงหยั่งรู้ในทุกสรรพสิ่งในหลักการปฏิบัติที่สมบูรณ์แบบ ความรอบรู้ของพระองค์ทรงครอบคลุมเหนือทุกสรรพสิ่ง ทั้งเรื่องที่เปิดเผยและที่เป็นความลับ และต่อสาธารณะชนและที่เป็นส่วนพระองค์ พระองค์ทรงหยั่งรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นอย่างไร ไม่มีกิจการใดเกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้ เว้นแต่พระองค์ประสงค์จะให้บังเกิดขึ้นสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ประสงค์จะให้เกิด ก็จะต้องบังเกิด และสิ่งใดที่พระองค์ไม่ประสงค์จะให้เกิด ก็จะไม่บังเกิดและจะไม่มีทางบังเกิดขึ้นได้ ความประสงค์ของพระองค์อยู่เหนือความต้องการของสัตว์โลกทั้งปวง พระองค์ทรงมีอำนาจอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงสามารถกระทำทุกสรรพสิ่ง พระผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ พระองค์ทรงเป็นผู้โอบอ้อมอารีย์หนึ่งในวจนะของศาสนทูตมุหัมมัด , พวกเราได้รับการบอกเล่าว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระเมตตาต่อสรรพสิ่งถูกสร้างของพระองค์มากกว่ามารดาที่เมตตาต่อบุตรเสียอีก1  พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ห่างไกลจากความอยุติธรรมและการกดขี่ พระองค์ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างสรรค์และทรงกำหนด หากผู้ใดต้องการบางสิ่งจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นสามารถอ้อนวอนได้จากพระองค์โดยตรงโดยไม่ต้องพึ่งผู้อื่นเป็นสื่อกลางให้ขอร้องต่อพระผู้เป็นให้กับตนพระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่พระเยซู และพระเยซูก็ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า2  แม้แต่พระเยซูเองก็ปฏิเสธในเรื่องนี้ พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้:

(لَقَدْ كَفَرَ الَّذِينَ قَالُواْ إِنَّ اللهَ هُوَ الْمَسِيحُ ابْنُ مَرْيَمَ وَقَالَ الْمَسِيحُ يَا بَنِي إِسْرَائِيلَ اعْبُدُواْ اللهَ رَبِّي وَرَبَّكُمْ إِنَّهُ مَن يُشْرِكْ بِاللهِ فَقَدْ حَرَّمَ اللهُ عَلَيهِ الْجَنَّةَ وَمَأْوَاهُ النَّارُ وَمَا لِلظَّالِمِينَ مِنْ أَنصَارٍ) (المائدة : 72 ) 

แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่าอัลลอฮ์คืออัลมะซีห์(ศาสนทูตอีซาหรือพระเยซู)บุตรของมัรยัมนั้นพวกเขาได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วและอัลมะซีห์ได้กล่าวว่าวงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย! จงเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าของฉันและเป็นพระเจ้าของพวกท่านเถิดแท้จริงผู้ใดให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์แน่นอนอัลลอฮ์จะทรงให้สวรรค์เป็นที่ต้องห้ามแก่เขาและที่พำนักของเขานั้นคือนรกและสำหรับบรรดาผู้อธรรมนั้นย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลือใด3”  (อัลกุรอาน, 5:72)

พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่พระตรีภพ พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้:

لَّقَدْ كَفَرَ الَّذِينَ قَالُواْ إِنَّ اللهَ ثَالِثُ ثَلاَثَةٍ وَمَا مِنْ إِلَـهٍ إِلاَّ إِلَـهٌ وَاحِدٌ وَإِن لَّمْ يَنتَهُواْ عَمَّا يَقُولُونَ لَيَمَسَّنَّ الَّذِينَ كَفَرُواْ مِنْهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ ( 73 ) أَفَلاَ يَتُوبُونَ إِلَى اللهِ وَيَسْتَغْفِرُونَهُ وَاللهُ غَفُورٌ رَّحِيمٌ ( 74 ) مَّا الْمَسِيحُ ابْنُ مَرْيَمَ إِلاَّ رَسُولٌ قَدْ خَلَتْ مِن قَبْلِهِ الرُّسُلُ وَأُمُّهُ صِدِّيقَةٌ كَانَا يَأْكُلاَنِ الطَّعَامَ انظُرْ كَيْفَ نُبَيِّنُ لَهُمُ الآيَاتِ ثُمَّ انظُرْ أَنَّى يُؤْفَكُونَ (75) [سورة المائدة]

แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่าอัลลอฮ์เป็นผู้ที่สามของสามองค์นั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากผู้ที่ควรเคารพสักการะองค์เดียวเท่านั้นและหากพวกเขามิหยุดยั้งจากสิ่งที่พวกเขากล่าวแน่นอนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการศรัทธาในหมู่พวกเขานั้นจะต้องประสบการลงโทษอันเจ็บแสบพวกเขาจะไม่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวต่อัลลอฮ์และขออภัยโทษต่อพระองค์กระนั้นหรือ? และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอมะซีห์ (พระเยซู) บุตรของมัรยัมนั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากเป็นร่อซู้ล(ศาสนทูต)คนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเคยมีศาสนทูตมาก่อนหน้าเขาแล้ว มารดาของเขาเป็นผู้ที่มีสัจจะยิ่ง ทั้งสองคนนั้นรับประทานอาหาร จงดูเถิดว่าเราได้อธิบายโองการ(หลักฐาน)แก่พวกเขาไว้อย่างไร แล้วเหตุใดพวกเขาจึงยังคงถูกลวงให้ไขว้เขว  (อัลกุรอาน, 5:73-75)

ผู้นับถืออิสลามจะปฏิเสธเรื่องที่พระเจ้าทรงเป็นผู้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย อีกทั้งยังปฏิเสธเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้ามีลักษณะใดๆ เหมือนมนุษย์ ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามในพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงอยู่ห่างจากความไม่เพียบพร้อม พระองค์ไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อย พระองค์ไม่เคยเซื่องซึมหรือง่วงเหงาหาวนอนในภาษาอารบิกคำ ว่า อัลเลาะห์ (อัลลอฮ์ หรือ อัลลอฮฺ) หมายความถึง พระผู้เป็นเจ้า (พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงเพียงพระองค์เดียวซึ่งสรรสร้างทั้งจักรวาล) คำว่า อัลเลาะห์ คือพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งนำมาใช้โดยผู้พูดภาษาอารบิก ทั้งชาวอาหรับที่เป็นมุสลิมและอาหรับที่เป็นชาวคริสต์ คำนี้ไม่สามารถนำไปใช้เรียกสิ่งอื่นๆ ได้ นอกจากพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงเพียงพระองค์เดียว ภาษาอารบิก คำว่า อัลเลาะห์ ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์กุรอานประมาณ 2700 ครั้ง ในภาษาอารามาอิค ซึ่งเป็นภาษาหนึ่งที่เกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับภาษาอารบิกและเป็นภาษาซึ่งพระเยซูทรงใช้ตรัสเป็นปรกติวิสัย พระผู้เป็นเจ้ายังทรงได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นพระอัลเลาะห์อีกด้วย

2) ความเชื่อในเรื่องมลาอิกะฮฺชาวมุสลิมมีความเชื่อว่ามลาอิกะฮฺ (อาจจะแปลได้ว่า เทวะ หรือเทพเจ้า แต่นิยมทับศัพท์เพื่อไม่ให้คลุมเครือกับความเชื่อเรื่องเทพเจ้าในศาสนาอื่นๆ – บรรณาธิการ)มีอยู่จริง และเชื่อว่ามลาอิกะฮฺเหล่านั้นเป็นผู้ทรงเกียรติ บรรดามลาอิกะฮฺต่างให้ความเคารพพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว เชื่อฟังพระองค์ และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์เท่านั้น ในบรรดามลาอิกะฮฺเหล่านั้น มลาอิกะฮฺญิบรีล(กาเบรียล) คือผู้ซึ่งนำเอาพระคำภีร์กุรอานลงมามอบให้แก่ศาสนทูตมุหัมมัด

3) ความเชื่อในคัมภีร์ที่ทรงเปิดเผยของพระผู้เป็นเจ้าชาวมุสลิมเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผย (ประทานวิวรณ์) หนังสือหรือคัมภีร์ให้แก่ผู้ถือสารของพระองค์ไว้เป็นเครื่องพิสูจน์และเป็นเครื่องชี้ทางสำหรับมนุษยชาติ หนึ่งในหนังสือเหล่านี้ได้แก่ พระคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยแก่ศาสนทูตมุหัมมัด  พระผู้เป็นเจ้าทรงให้คำรับรองเกี่ยวกับการป้องกันการคดโกงหรือการบิดเบือนข้อเท็จจริงในพระคัมภีร์อัลกุรอาน พระองค์ตรัสว่า:

(إِنَّا نَحْنُ نَزَّلْنَا الذِّكْرَ وَإِنَّا لَهُ لَحَافِظُونَ) (الحجر : 9 )

 แท้จริงเราได้ให้พระคัมภีร์อัลกุรอานลงมาและแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน.  (อัลกุรอาน, 15:9) 

4) ความเชื่อในศาสนทูตและผู้ถือสารของพระผู้เป็นเจ้าชาวมุสลิมเชื่อในศาสนทูตและผู้ถือสารของพระผู้เป็นเจ้า เริ่มจากอาดัม รวมทั้งโนอาห์ อับราฮัม อิสมาเอล ไอแซ็ค จาค็อบ โมเสส และ พระเยซู (ความสันติย่อมขึ้นอยู่กับทุกพระองค์) แต่สารฉบับสุดท้ายของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงมอบให้แก่มวลมนุษย์ เป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งในเรื่องของสารอันเป็นนิรันดร ซึ่งทรงเปิดเผยแก่ศาสนทูตมุหัมมัด  ชาวมุสลิมเชื่อว่ามุหัมมัด  ทรงเป็นศาสนทูตองค์สุดท้ายที่ประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้า ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า:

(مَّا كَانَ مُحَمَّدٌ أَبَا أَحَدٍ مِّن رِّجَالِكُمْ وَلَكِن رَّسُولَ اللهِ وَخَاتَمَ النَّبِيِّينَ) (الأحزاب : 40 )

 มุหัมมัดมิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้าแต่เป็นร่อซู้ลของอัลลอฮ์และคนสุดท้ายแห่งบรรดานบี  (อัลกุรอาน 33:40)

ชาวมุสลิมเชื่อว่าศาสนทูตและผู้ถือสารทั้งหมดได้รับการสรรสร้างให้มาเกิดเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติแห่งเทพอย่างพระผู้เป็นเจ้าเลย

5) ความเชื่อในเรื่องวันพิพากษาชาวมุสลิมเชื่อในเรื่องวันพิพากษา (วันฟื้นคืนชีพ) เมื่อหมู่มวลมนุษย์จะต้องฟื้นคืนชีวิตมาฟังคำพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้าซึ่ง ขึ้นอยู่กับความเชื่อและการกระทำของพวกเขา

6) ความเชื่อในอัลเกาะดัร (กฏแห่งกำหนดสภาวะดีและชั่ว)ชาวมุสลิมเชื่อใน อัล-เกาะดัร ซึ่งเป็นลิขิตแห่งพระเจ้า แต่ความเชื่อในเรื่องลิขิตแห่งพระเจ้านี้มิได้หมายความว่ามนุษย์จะไม่มีความนึกคิดที่เป็นอิสระ แต่ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานความนึกคิดที่เป็นอิสระให้ กับมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถเลือกทำในสิ่งที่ถูกหรือผิดได้ และพวกเขาเหล่านั้นต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในสิ่งที่ตนได้เลือกกระทำไปนั้นความเชื่อในลิขิตแห่งพระเจ้านั้น ได้แก่ ความเชื่อในสี่สิ่งดังต่อไปนี้ 1) พระผู้เป็นเจ้าทรงหยั่งรู้ในทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงหยั่งรู้ว่าอะไรได้เกิดขึ้นและอะไรจะเกิดขึ้น 2) พระผู้เป็นเจ้าทรงบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดและที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดไว้ 3) อะไรก็ตามที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์จะให้เกิดจะต้องบังเกิดขึ้น และอะไรก็ตามที่พระองค์ไม่ประสงค์จะให้เกิด ก็จะไม่บังเกิดขึ้น 4) พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง